3 มิถุนายน 2023
การเงิน

ในการลงทุนสามารถเลือกกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ได้หลายประเภท

ตั้งแต่เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือกอย่างทองคำ น้ำมัน หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น แต่หากต้องการได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอแล้ว หลายๆ ครั้งเรามักจะนึกถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ด้วยรูปแบบของการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนเป็นค่าเช่าอย่างสม่ำเสมอ และมักเป็นสัญญาระยะยาว ซึ่งเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการมีรายได้แบบ Passive Incomeการลงทุนทางตรงในอสังหาริมทรัพย์ มักจะต้องใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งอสังหาริมทรัพย์บางรูปแบบที่มีความน่าสนใจและน่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดียังเข้าถึงได้ยากสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ศูนย์แสดงสินค้า หรือโกดังสินค้า เป็นต้นจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เริ่มลงทุน หรือมีเงินลงทุนจำกัดที่ยังต้องบริหารความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย หรือกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้น อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จึงเป็นการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์กองทุนอสังหาริมทรัพย์ คือกองทุนที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการรวบรวมเงินจากผู้ลงทุนไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือโรงแรม เป็นต้น ข้อดีของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบทางอ้อมผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์คือใช้เงินไม่เยอะ สามารถลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้หลายกองจึงกระจายความเสี่ยงได้ และได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนที่สร้าง Passive Income ให้กับผู้ลงทุนได้เช่นกัน
การเงิน

รูปแบบกองทุนอสังหาริมทรัพย์

1. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) เป็นกองทุนที่ระดมเงินจากผู้ลงทุนนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีทั้งแบบซื้อกรรมสิทธิ์ขาด และแบบลงทุนในสิทธิการเช่าระยะยาว มุ่งเน้นบริหารสินทรัพย์ให้ได้ผลตอบแทนที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอในรูปแบบของค่าเช่ามากกว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์มาพัฒนาเพื่อขายต่อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทุนรวมประเภทกองทุนปิด คือ เปิดให้จองซื้อครั้งเดียวเมื่อจัดตั้งโครงการ และไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนก่อนครบกำหนด ดังนั้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่นักลงทุน บลจ. ที่จัดตั้งกองทุนจึงมีการนำหน่วยลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนกับผู้ลงทุนรายอื่นในตลาดรองได้

2. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust เป็นกองสินทรัพย์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดย Trustee ซึ่งทำหน้าที่ดูแลและบริหารจัดการสินทรัพย์ในกอง เพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือใบทรัสต์ หรือผู้ลงทุนนั่นเอง โดย REIT มีข้อดีที่ต่างจาก Property Fund เช่น ลงทุนในทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศได้ หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จได้ เป็นต้น รายได้ของ REIT มาจากการเก็บค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ที่ไปลงทุน จึงสามารถสร้างรายได้ให้นักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอ และมีความผันผวนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น โดย REIT มีการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนหุ้นตัวหนึ่งเช่นเดียวกับ Property Fund ราคาจะขึ้นอยู่กับทำเลและประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน สภาพเศรษฐกิจ รวมถึงอัตราดอกเบี้ย

3. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) กองทุนรวมจะนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งโครงการของภาครัฐหรือเอกชน เพื่อเป็นประโยชน์สาธารณะต่อเศรษฐกิจและสร้างการเติบโตของประเทศในระยะยาว โครงสร้างพื้นฐานที่ไปลงทุน เช่น ทางด่วน สนามบิน โรงไฟฟ้า ระบบโทรคมนาคมและการสื่อสาร เป็นต้น โดยกองทุนจะมีรายได้จากโครงการที่ไปลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นกองทุนปิด แต่มีการนำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นักลงทุนจึงสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้สะดวก นักลงทุนจึงสามารถเข้าถือหน่วยลงทุนได้จากการเสนอขายครั้งแรก (IPO) หรือโดยการซื้อในตลาดรอง

ผู้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 รูปแบบ จะได้รับผลตอบแทนผ่านรูปแบบเงินปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) โดยก่อนลงทุนควรศึกษาข้อมูลของกองทุน เช่น ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุน รูปแบบของกรรมสิทธิ์ รูปแบบรายได้ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคา เพื่อประเมินว่าตนเองเหมาะกับการลงทุนรูปแบบไหน ซึ่งจะทำให้การลงทุนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย